Part of speech ชนิดของคำในภาษาอังกฤษ

Part of speech ชนิดของคำในภาษาอังกฤษ

Part of speech

Part of speech  คือ ชนิดของคำในภาษาอังกฤษ เช่น คำนาม คำกริยา ฯลฯ  ซึ่งไม่ใช่แกรมม่าร์เรื่องใหม่ในภาษาอังกฤษแต่อย่างใด  เป็นแกรมม่าร์พื้นฐานเสียด้วยซ้ำ  เพียงแต่เรารู้จัก part of speech แบบแยกส่วน  เพราะพอเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ก็เริ่มกันที่การทำความรู้จักกับคำนาม  คำกริยา  คำคุณศัพท์กันไปเลย  โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่ามันคือส่วนประกอบของ part of speech

Part of speech ประกอบไปด้วย  8  ชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดก็แตกย่อย ออกลูกออกหลานกันไปอีกมากมาย คำในภาษาอังกฤษที่เราใช้ๆกันอยู่จะเป็นหนึ่งในแปดชนิดนี้   มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

1.  Noun (คำนาม)   คือ  คำที่ใช้เรียกแทน คน สัตว์ สิ่งของ   ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้  ห้อง  หนังสือ  ชื่อคน  ชื่อโรงพยาบาล  ชื่อภูเขา  ล้วนเป็นคำนามทั้งสิ้น
เมื่อมีคำนามแล้วเอาไปทำอะไรได้บ้าง?  คำนามทำหน้าที่เป็นประธาน  เป็นกรรม และเป็นส่วนเติมเต็มในประโยค  เช่น

  • The cat is wagging its tail.    แมวกำลังกระดิกหางของมัน

The cat เป็นคำนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค  ส่วน tail เป็นคำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค

  • She is the leader of our group.

The leader of our group เป็นกลุ่มคำนามโดยมีนามหลักคือคำว่า leader  ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มของประโยค

2.  Pronoun (คำสรรพนาม)  คือคำที่ใช้แทนคำนาม เพื่อจะได้ไม่พูดนามนั้นซ้ำ หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูดหรือสิ่งที่เราไม่รู้หรือไม่แน่ใจว่าคืออะไร  ทำหน้าที่เป็นประธานก็ได้ หรือเป็นกรรมก็ได้  เช่น

  • The children are in the room. They are cleaning up the room.
    (They แทนคำนาม The children)
  • Nobody comes with me.
    (Nobody เป็นประธาน  แทนคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง)

3. Verb (คำกริยา)  คำกริยาคือคำที่แสดงกริยาอาการหรือการกระทำในประโยค  เช่น

  • He’s playing football.
    (play  แปลว่า เล่น   แสดงการกระทำในประโยค ถือเป็นส่วนสำคัญในประโยค  ถ้าประโยคขาดกริยาจะถือว่าประโยคนั้นไม่สมบูรณ์)

4. Adjective (คำคุณศัพท์)  คือคำที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม  เน้นว่า ขยายนามเท่านั้นไม่ขยายอย่างอื่น  เมื่อทำหน้าที่ขยายนาม  ตำแหน่งของคำคุณศัพท์ในประโยคจึงต้องอยู่หน้านาม  หรือในบางกรณีจะตามหลัง verb to be และ linking verb  เช่น

  • Susan isn’t a fat woman.
  • She looks upset.

5. Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)  คือคำที่ทำหน้าที่ขยายคำกริยา  เช่น

  • Tony always drives carefully.
    (carefully เป็น adverb ทำหน้าที่ขยายกริยา drive)

นอกจากขยายกริยาแล้ว  ยังขยายคำคุณศัพท์หรือขยายกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเองได้อีกด้วย  เช่น

  • It was so hot yesterday.
    (so เป็น adverb ขยายคำคุณศัพท์ hot)
  • She ran very fast.
    (very เป็น adverb ขยายคำกริยาวิเศษณ์  fast)

6.  preposition  (คำบุพบท)  คือคำที่ใช้บอกตำแหน่ง  บอกสถานที่  บอกทิศทาง  แสดงการเคลื่อนไหว  หรือบอกความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือสรรพนามกับคำอื่นๆ ในประโยค  เช่น

  • The cat is lying on the floor.
  • I went to Marry’s wedding party with my family.

7.  Conjunction  (คำเชื่อม)  คือคำที่ใช้เชื่อมระหว่าง คำกับคำ  กลุ่มคำกับกลุ่มคำ หรือประโยคกับประโยค  เช่น

  • I went to bed late last night, so I got up late this morning.
  • I usually have bread and cereal for breakfast.

8.  Interjection (คำอุทาน)  คำอุทานคือคำที่ใช้แสดงอารมณ์ ความรู้สึกที่หลากหลาย ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น  มักใช้ในภาษาพูด  เช่น

  • Oh!   Ouch!  Eh!  Hey!  Hello!   Oh dear!
  • Oh dear! Does it hurt?

Part of speech ทั้ง 8  ชนิดนี้ เชื่อว่าหลายคนรู้จักกันอยู่แล้ว เรียนกันมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร  หรือคำๆนี้เรียกว่าคำอะไร   การที่เรารู้จักชนิดของคำจะทำให้เราไม่วางคำมั่วซั่วสะเปะสะปะในประโยค  นึกจะวางตรงไหนก็วาง เพราะแต่ละคำมีหน้าที่ มีตำแหน่งของมันในประโยค  ถ้าเราเข้าใจพื้นฐาน  ไม่ว่ามันจะแตกแยกย่อยออกไปมากแค่ไหนก็เข้าใจได้ไม่ยากแล้วล่ะค่ะ ^^