interrogative sentence (หลักการสร้างประโยคคำถาม)

interrogative sentence ประโยคคำถาม

interrogative sentence (หลักการสร้างประโยคคำถาม)

ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมีโครงสร้างที่ไม่เหมือนประโยคบอกเล่า ดังนั้นเวลาจะพูดหรือจะเขียนแต่ละทีต้องมานั่งนึกว่าอะไรมาก่อนมาหลัง ประธาน กริยา กรรม วางยังไง ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมี 2 ประเภท คือ

1. Yes/No Question
2. Wh-Question

1. Yes/No Question – เหตุใดจึงเรียกว่าเป็นคำถามแบบ yes/no question? ก็เพราะมันเป็นคำถามแบบที่ต้องตอบว่า yes หรือ no   หลักการง่ายๆในการสร้างประโยคคำถามแบบนี้คือ เอากริยาช่วย (Helping verb) มาขึ้นต้นประโยค ไม่ว่าในประโยคนั้นจะมีกริยาช่วยอะไรเอามันมาไว้ข้างหน้าประโยคก่อนเลย แล้วที่เหลือก็เรียงประธานและกริยาแท้ตามลำดับ จบท้ายด้วย question mark (?)

                    กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้……..?

หลักการนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุก Tense เช่น Continuous tense ก็จะมี Verb to be เป็นกริยาช่วย

  • Is mom cooking dinner?    (present continuous tense)
  • Are you wearing sunglasses? (present continuous tense)
  • Was she working when you came?         (past continuous tense)

หรือ perfect tense ก็จะมี verb to have เป็นกริยาช่วย

  • Have you ever been to Korea?     (Present perfect tense)
  • Had she called you before she left for Tokyo?   (Past perfect tense)

แต่สำหรับ simple tense นั้น ในประโยคบอกเล่าจะไม่ปรากฏกริยาช่วยใดๆ แล้วจะหากริยาช่วยได้จากที่ไหน? Tense นี้มีความพิเศษหน่อยคือจะเอา Verb to do เข้ามาช่วย ฉะนั้นเวลาตั้งเป็นคำถามก็ต้องเอา verb to do (do, does, did) ขึ้นต้น ถ้าเป็น present tense ก็ใช้ do, does แต่ถ้าเป็น past tense ก็ใช้ did เช่น

  • Do they take writing course this semester?
  • Does she work as an assistant of Prof. Harisson?
  • Did he go with you last night?

คำถามแบบ Yes/No question แน่นอนว่า เวลาตอบก็ต้องตอบ yes หรือ no เช่น

  • Have they broken the window?
  • Yes, they have. (ย่อมาจาก Yes, they have broken the window.)
  • No, they haven’t. (ย่อมาจาก No, they haven’t broken the window.)

หรือในบางประโยคที่ตอง No ก็อาจจะพูดประโยคที่ถูกต้องไปเลยก็ได้ เช่น

  • Are you Matt?         No, I’m Martin.

** หลักการง่ายๆในการตอบแบบสั้นคือ ให้ตอบ Yes หรือ No แล้วตามด้วยสรรพนามที่แทนประธานในประโยคคำถาม แล้วตามด้วยกริยาช่วยและถ้าคำตอบเป็น No ก็เติม not ไปที่หลังกริยาช่วย เช่น

  • Are the students wearing the scout uniform?
  • Yes, they are. / No, they aren’t.
  • Does she like eating spaghetti?
  • Yes, she does. / No, she doesn’t.

2. Wh-quesiton – คือคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question words (What, When, Where, Why, Whose, Who, Which และ ตระกูล How เช่น How old, How long, How much, How many, etc.) ประโยคคำถามแบบ Wh-question นี้ จะเป็นการถามเพื่อขอข้อมูล

โครงสร้างประโยคก็เหมือน Yes/No question เพียงแต่วาง Wh-question ไว้ข้างหน้าสุด หน้ากริยาช่วย แล้วตามด้วยประธานและกริยาหลัก ตามลำดับ

                    Wh-question + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้….?

ตัวอย่างประโยคคำถามแบบนี้คือ

  • Where does your brother work?
  • What have you done these days?
  • How long will you stay here?
  • What movie were you watching last night when I called?

มีข้อควรระวังและข้อเสนอแนะอยู่สองสามข้อในการสร้างประโยคคำถามคือ ประโยคคำถามที่มี do/does/did เป็นกริยาช่วยนั้น กริยาแท้ที่ตามมาในประโยคจะต้องเป็นรูป base form คือรูปธรรมดา ไม่ผัน ไม่เติม s/es และอีกข้อหนึ่งคือ Wh-question words ใดที่ต้องมีนามตามมาด้วย เช่นในความหมายว่า หนังสืออะไร หนังสือของใคร หนังสือเล่มไหน ให้วางนามต่อท้าย Wh-question words นั้นได้เลย เช่น what book, whose book, which book แล้วค่อยตามด้วยโครงสร้างที่เหลือ เช่น

  • What book are you reading?
    คุณกำลังอ่านหนังสืออะไร